Tuesday, May 10, 2016

เบิร์นลี่ย์ และ เดอะ โบโร่ กลับมาแล้ว !

เบิร์นลี่ย์ และ เดอะ โบโร่ กลับมาแล้ว !

          แน่นอนแล้วว่าทีมที่ได้เลื่อนชั้นขึ้นมาเตะพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2016-17 ก็คือ เบิร์นลี่ย์ และ มิดเดิ้ลส์โบรช์ ซึ่งเป็น 2 สโมสรที่อยู่เหนือสุดจากบรรดาเหล่าที่ตั้งของ 24 สโมสรในศึกฟุตบอลลีก แชมเปี้ยนชิพ ฤดูกาล 2015-16

          เบิร์นลี่ย์ ซึ่งตกชั้นไปแค่ฤดูกาลเดียวเท่านั้น กลับขึ้นมาแบบสุดหรู เพราะคว้าแชมป์ลีกรองครั้งแรกในรอบ 43 ปี ด้วยฟอร์มอันเยี่ยมยอด ชนะ 26 เสมอ 15 จากทั้งหมด 46 นัด เก็บได้ถึง 93 คะแนน สูงสุดในประวัติศาสตร์สโมสร เทียบเท่ากับที่เคยทำไว้เมื่อฤดูกาล 2013–14 พวกเขาเล่นนอกบ้านดีสุด (ชนะ 11 จาก 23 เกม) ส่วนหนึ่งเพราะเสียตัวหลักไปเพียงไม่กี่คน โดยเฉพาะกุนซือ ฌอน ไดซ์ ยังอยู่ทำงานเป็นฤดูกาลที่ 4 จึงยังใช้ระบบการเล่นที่นักตะส่วนใหญ่คุ้นเคย รวมทั้งรักษาทีมเวิร์คที่ช่วยให้มีผลงานโดดเด่นมานาน


  ฌอน ไดซ์ (เสื้อขาว) ฉลองความสำเร็จกับลูกทีม หลังเลื่อนชั้นกลับไปเตะพรีเมียร์ลีกได้สำเร็จ 

          แม้ไม่มี แดนนี่ อิงส์ ดาวซัลโวสูงสุด 2 ปีล่าสุดของสโมสร เพราะขายไปให้ ลิเวอร์พูล แต่ซื้อ อันเดร เกรย์ กองหน้าวัย 24 ปี จาก เบร้นท์ฟอร์ด มาแทน และเจ้าของค่าตัว 9.3 ล้านปอนด์ ก็ตอบแทนด้วยการยิง 23 ประตู ใน 41 เกม กลายเป็นดาวซัลโวสูงสุดของลีกประจำฤดูกาลนี้ (25 ประตู เพราะรวมผลงานตอนอยู่ เบร้นท์ฟอร์ด อีก 2) นอกจากนั้นยังแอสซิสต์อีก 11 ครั้ง มากสุดเป็นลำดับ 2 ร่วม จึงไม่แปลกหากเขาถูกเลือกให้เป็นนักเตะยอดเยี่ยมประจำปีของศึกแชมเปี้ยนชิพ

          อีกคนหนึ่งที่ทำผลงานดี และเป็นผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จในคราวนี้ของ เบิร์นลี่ย์ คือ ทอม ฮีตัน นายทวารกัปตันทีม ซึ่งทำคลีนชีตได้ถึง 20 ครั้ง จากการลงสนามครบทุกแมตช์ แม้แผงรับเปลี่ยนไปจากเดิม เพราะการย้ายออกของ เจสัน แช็คเคลล์ กับ คีแรน ทริปเปียร์ โดยมี แม็ทธิว โลว์ตัน และ เทนดายี่ ดาริควา เข้ามาทดแทน ส่วน โจอี้ บาร์ตัน อดีตมิดฟิลด์ทีมชาติอังกฤษ แข้งใหม่อีกราย ก็ช่วยงานได้ดีด้วยประสบการณ์อันโชกโชน นอกจากเขาแผงกลาง เบิร์นลี่ย์ ยังมีจอมเก๋าอย่าง จอร์จ บอยด์, ลอยด์ ดายเออร์, แม็ทธิว เทย์เลอร์ รวมถึง เดวิด โจนส์


อันเดร เกรย์ (ซ้าย) กับ ไมเคิ่ล คีน 2 แกนหลักที่ช่วยให้ เบิร์นลี่ย์ กลับสู่ลีกสูงสุดภายในปีเดียวหลังการตกชั้น 

          แต่ถือว่า ไดซ์ ใช้ทีมที่อายุเฉลี่ยมากสุดในลีก (29 ปี) ให้เป็นประโยชน์ เพราะประสบการณ์ของแต่ละคนทำให้ผลงานของ เบิร์นลี่ย์ คงเส้นคงวา เอาตัวรอดในหลายสถานการณ์ จนไม่พ่ายใคร 23 แมตช์กระทั่งจบฤดูกาล ทำให้อยู่ใน 2 อันดับแรกต่อเนื่อง ตั้งแต่เดือนมีนาคม และที่สุดก็คว้าตำแหน่งแชมป์ไปครอง โดยทิ้งห่าง มิดเดิ้ลส์โบรช์ ทีมอันดับ 2 อยู่ 4 คะแนน ทั้งๆตอนผ่านครึ่งทาง (23 เกม) "เดอะ โบโร่" ของกุนซือชาวสแปนิช ไอตอร์ การันก้า ยังนำ เบิร์นลี่ย์ 8 แต้มด้วยซ้ำ

          แต่ การันก้า สามารถพา มิดเดิ้ลส์โบรช์ กลับสู่พรีเมียร์ลีกจนได้ หลังห่างหายไปนาน 7 ฤดูกาล แม้ต้องลุ้นถึงวินาทีสุดท้าย เพราะนัดปิดฤดูกาลต้องเฝ้ารังเจอ ไบรท์ตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบี้ยน ที่มีคะแนนเท่ากัน แต่ "เดอะ โบโร่" มีผลต่างประตูดีกว่า 2 ลูก ดังนั้นแมตช์ดังกล่าวจึงเหมือนเป็นการตัดสินชะตา และลูกทีมของ การันก้า เอาตัวรอดด้วยผลเสมอ 1-1 ตำแหน่งรองแชมป์แชมเปี้ยนชิพจึงตกเป็นของ มิดเดิ้ลส์โบรช์ ซึ่งฤดูกาลก่อนเกือบได้เลื่อนชั้นเหมือนกัน แต่จบอันดับ 4 ห่างอันดับ 2 เพียง 4 คะแนน เข้าชิงชนะเลิศเพลย์ออฟ ก็แพ้ นอริช ซิตี้ 0-2


              ที่สุด ไอตอร์ การันก้า ก็พา มิดเดิ้ลส์โบรช์ เลื่อนชั้นในปีที่ 3 ของการทำงาน 

          ยุคสุดท้ายที่อยู่พรีเมียร์ลีก "เดอะ โบโร่" นำโดยกุนซือ แกเร็ธ เซาธ์เกต รวมถึงนักเตะอย่าง ดีดิเย่ร์ ดิการ์, ตุนกาย ซานลี่, โรเบิร์ต ฮุธ, แบร็ด โจนส์ และ สจ๊วร์ต ดาวนิ่ง ซึ่งย้ายออกไปหลังตกชั้น แต่พอกลับมาร่วมงานกันอีกครั้ง มิดฟิลด์วัย 31 ปี ผู้เป็นชาวเมืองมิดเดิ้ลส์โบรช์โดยกำเนิด ก็พาทีมที่อายุเฉลี่ยมากสุดอันดับ 4 ของลีก (27.4 ปี) เลื่อนชั้นได้สำเร็จ โดยฤดูกาลนี้ นอกจากเขาแล้ว การันก้า ยังซื้อ เดวิด นูเจนท์, การ์ลอส เด เปน่า, คริสเตียน สตูอานี่ รวมถึง จอร์แดน โรดส์ เข้ามาเสริมทัพ

          ผู้เล่นส่วนใหญ่ของ มิดเดิ้ลส์โบรช์ ยุคนี้ พูดภาษาสเปนเหมือน การันก้า (สตูอานี่, เด เปน่า, เอมิลิโอ เอ็นซู, ดาเมีย อาเบญ่า, กีเก้ โซล่า, กาสตัน รามิเรซ, โตมัส เมฆิยาส และ ดาเนี่ยล อยาล่า) หรือเคยค้าแข้งในแดนกระทิงดุมาก่อน ทำให้รูปแบบการเล่นไม่ต่างจากสโมสรในลา ลีกา โดยพวกเขามีดีที่แนวรับ (เสียประตูน้อยสุดในลีก) สาเหตุอาจเป็นเพราะมีกุนซือเป็นอดีตเซนเตอร์แบ๊กทีมชาติสเปน แถมทำหน้าที่มือขวา โชเซ่ มูรินโญ่ สมัยคุมทัพ เรอัล มาดริด (การันก้า ก็เคยอยู่ "ราชันชุดขาว" ช่วงปี 1997-2002)


จอร์แดน โรดส์ หนึ่งในกองหน้าของ "เดอะ โบโร่" ที่ยิงประตูน้อยเกินคาด แต่ต้นสังกัดก็ยังได้เลื่อนชั้น

          "เดอะ โบโร่" อาศัยแผงหลังเหนียวแน่น จนกลายเป็นทีมที่ทำผลงานในบ้านดีสุด (เสียแค่ 8 ประตู) แต่เพราะแนวรุกไม่ค่อยคม จึงยิงได้น้อยสุดในบรรดา 6 อันดับแรก แถมการเสมอ 4 นัดสุดท้ายเกือบทำให้อดเลื่อนชั้นด้วยซ้ำ โรดส์ ทำไป 6 ประตู จาก 18 แมตช์ (ตอนอยู่ แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส ช่วงต้นฤดูกาล ซัด 10 ลูก ใน 25 เกม) นูเจนท์ ยิงได้ 8 ประตู สตูอานี่ กับ รามิเรซ ส่องไปคนละ 7 ลูก หลายคนจึงอดห่วงไม่ได้ว่าถ้าไม่ปรับเปลี่ยน อาจเป็นเหมือนฤดูกาล 2008-09 ที่ตกชั้นเพราะมีแนวรุกห่วยสุดชุดหนึ่งในประวัติศาสตร์

          ต้องตามดูต่อว่า เบิร์นลี่ย์ กับ มิดเดิ้ลส์โบรช์ ทำผลงานดีเพียงใดสำหรับการหวนกลับสู่พรีเมียร์ลีกอีกครั้ง มีการปรับโฉมใหม่จากเดิมมากแค่ไหนเพื่อเพิ่มโอกาสอยู่รอดให้ตัวเอง เนื่องจากพวกเขาถูกมองว่าต้องดิ้นรนหนีตกชั้นตั้งแต่ยังไม่เริ่มฤดูกาลใหม่ด้วยซ้ำ ซึ่งหวังว่าจะเรียนรู้จากความผิดพลาดเมื่อครั้งอดีต เพราะคงไม่มีใครอยากเห็นทั้ง 2 สโมสร ต้องร่วงกลับไปแชมเปี้ยนชิพพร้อมกันในฤดูกาลหน้า

ที่มา : siamsport

live1score.com

0 comments:

Post a Comment